กสทช เพิกถอนใบอนุญาต MVNO ของ เคโฟร์

การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) ออกหมายจับบริษัทเคโฟร์ฯ ซึ่งเป็นผู้รับใบอนุญาตจาก กสทช. พร้อมกรรมการผู้มีอำนาจ ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน สืบเนื่องจากมีผู้เสียหายจำนวนมากเข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนในเดือนธันวาคม 2567 ว่าถูกชักชวนให้ลงทุนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ นำไปสู่การออกหมายจับและตรวจยึดทรัพย์สิน

นอกจากธุรกิจซิมการ์ด “K4” แล้ว เคโฟร์ฯ ยังดำเนินธุรกิจตู้เติมเงิน “เคธี่ปันสุข” เพื่อให้บริการเติมเงินโทรศัพท์ควบคู่กันไปด้วย อย่างไรก็ตาม ธุรกิจตู้เติมเงินไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กสทช. ในช่วงกลางปี 2567 สำนักงาน กสทช. ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนผ่าน Call Center 1200 เกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของบริษัท เคโฟร์ฯ เนื่องจากมีการชักชวนให้ลงทุนในตู้เติมเงิน โดยอ้างผลตอบแทนสูง ทำให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับธุรกิจ MVNO และธุรกิจตู้เติมเงิน

กสทช. ได้ออกประกาศเตือนประชาชนเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2567 ให้ระมัดระวังการลงทุนในตู้เติมเงิน แต่ในขณะนั้นยังไม่มีรายงานความเสียหายเกิดขึ้นอย่างชัดเจน จนกระทั่งปลายปี 2567 ผู้ลงทุนเริ่มได้รับผลกระทบจากความล่าช้าในการจ่ายเงินและขาดทุน จึงเข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ

นายไตรรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2568 สำนักงาน กสทช. ได้รับข้อมูลจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) เกี่ยวกับการจับกุมกรรมการและยึดทรัพย์สินของบริษัท เคโฟร์ฯ และกรรมการ มูลค่ารวมกว่า 50 ล้านบาท โดยมีผู้เสียหาย 74 ราย มูลค่าความเสียหายรวม 29,770,771.45 บาท การถูกยึดทรัพย์สินดังกล่าวส่งผลให้บริษัท เคโฟร์ฯ ขาดคุณสมบัติการเป็นผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมตามข้อ 6.7 ของประกาศ กสทช.

“เมื่อ กสทช. พิจารณาคุณสมบัติของบริษัท เคโฟร์ฯ พบว่าการจับกุมกรรมการและยึดทรัพย์สินในข้อหาฉ้อโกงประชาชน ส่งผลให้บริษัทขาดคุณสมบัติผู้รับใบอนุญาต จึงมีมติให้ใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมสิ้นสุดลง และให้บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) ให้บริการแก่ผู้ใช้บริการของบริษัท เคโฟร์ฯ ต่อไป” นายไตรรัตน์ กล่าว

ข้อมูลจาก NT ระบุว่า ณ สิ้นปี 2567 มีผู้ใช้ซิม K4 ประมาณ 46,000 เลขหมาย มียอดเติมเงินรวมประมาณ 1.7 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 37 บาทต่อเลขหมาย